ประวัติและความเป็นมาเครื่องปั้นดินเผา
บ้านเหมืองกุง
ประวัติ
บ้านเหมืองกุง
ในอดีตก่อนหน้าที่จะเกิดชุมชนแห่งนี้บริเวณดังกล่าวเป็นที่ราบเชื่อมระหว่าง
เมืองเชียงใหม่กับชุมชนโบราณที่ตั้งอยู่ทางด้านใต้หลายแห่ง เช่น เวียงดัง
เวียงเกาะ เวียงแม เวียงท่ากาน เวียงมโน เวียงกุมกาม ตลอดไปจนถึงแคว้นหริกุญไชยฯ
หากประมาณอายุของหมู่บ้านแห่งนี้คาดว่าคงเริ่มก่อตั้งขึ้นไม่เกินสมัยพระ
เจ้ากาวิละครองเมืองเชียงใหม่( พ.ศ.2325-2356 )
ในอดีตชาวบ้านเหมืองกุงทำเครื่องปั้นดินเผาเฉพาะที่เป็นน้ำต้นและน้ำหม้อ
เพื่อใช้ในครัวเรือนและนำไปใช้ในพิธีกรรมนำไปทำบุญและหากมีเหลือก็นำไปแลก
เปลี่ยนหรือขายให้กับชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียง
นอกจากนี้ชาวล้านนาได้ตั้งหม้อน้ำที่ชานเรือนหรือหน้าบ้านเพื่อสัญจรไปมาโดย
จะเปลี่ยนหน้าน้ำใหม่ในวันสงกรานต์
นอก
จากนี้ยังมีการใช้น้ำต้นในการรับแขกและถวายพระซึ่งประเพณีเช่นนี้จึงทำให้
เกิดการผลิตเครื่องปั้นดินเผาที่สำคัญของที่นี่ คือ หม้อน้ำ และน้ำต้นปัจจุบันได้มีการผลิตเพื่อขายมากขึ้น
กล่าวคือ มิได้ขายเฉพาะในกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น
แต่มีการทำเพื่อส่งขายทั่วไปฉะนั้นการทำเครื่องปั้นดินเผาเหมืองกุง
จึงมีการนำเทคนิควิธีการสมัยใหม่เข้ามาช่วยในการผลิตแต่การผลิตในรูปแบบดั้ง
เดิมก็ยังคงมีให้เห็นกันทั่วไปในหมู่บ้านแห่งนี้เพราะตลาดส่วนใหญ่ยังมีความ
ต้องการ และยังคงมีการสืบทอดวิธีการผลิตแบบดั้งเดิม
ซึ่งถือเป็นจุดเด่นสำคัญของเครื่องปั้นดินเผาหมู่บ้านเหมืองกุง
หมู่บ้านเหมืองกุงได้รับการคัดเลือกให้เป็นหมู่บ้านOTOPต้นแบบ ของจังหวัดเชียงใหม่เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2548
ทำให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวตลอดจนมีหน่วยงานต่างๆ
เข้ามาศึกษาดูงานอย่างต่อเนื่อง
วิธีการหมักดินเหนียว
1.นำดินเหนียวไปตากให้แห้ง ประมาณ
1วัน
2.นำดินเหนียวที่แห้งแล้วไปปั่นให้ละเอียด
3.เมื่อปั่นดินเหนียวเสร็จแล้วก็นำไปร่อนเพื่อเอาทรายเม็ดใหญ่ออก
ถ้าไม่นำเม็ดทรายออกเวลาปั้นดินเหนียวจะมีรอยผุ
4.นำดินเหนียวไปหมักโดยต้องผสมน้ำเพื่อให้ดินเหนียวมากขึ้น
ใช้เวลาในการหมัก 1 วัน
5.เมื่อนำดินเหนียวขึ้นจากอ่างหมักดินแล้วนำดินเหนียวเข้าเครื่องเพื่อทำการอัดดิน
6.นำถุงพลาสติกห่อดินไว้และสามารถนำมาใช้งานได้เลย
สีจากดินแดง
ดินแดงนำมาจาก อำเภอดอยสะเก็ด ดินแดงจะอยู่ตามข้างทางเราสามารถขุดมาได้
วิธีการผสมสีจากดินแดง
1.นำมาร่อนเพี่อเอาเศษทรายออก และต้องร่อนจนระเอียด
2.นำมาผสมน้ำและน้ำมัน ใช้งานได้เลย
อุปกรณ์
ใช้ในการทำเครื่องปั้นดินเผา ภาชนะใส่อาหากระต่าย
1.ที่วัดขนาด 2.สีจากดินแดง
3.ผ้าผืนยาว สั้น
4.ฟองน้ำ
5.สายเอ็น
6.ดินเหนียว
7.ไพ่ สำหรับทำให้เครื่องปั้นเรียบ
8.กระเบื้องรองดินเหนียว
วิธีการทำ
1.เตรียมดินสำหรับการปั้น
2.นำกระเบื้องมาวางบนเครื่องปั้นใช้สำหรับรองดินเหนียว
3.ทำการปั้นโดยใช้เครื่องปั้นดินเหนียวใช้เครื่องมือตกแต่งให้เป็นรูปทรง
4.เมื่อปั้นเสร็จแล้วทำการเคลือบสีให้กับเครื่องปั้น
5.นำสายเอ็นมาตัดด้านล่างของเครื่องปั้นเพื่อให้หลุดออกจากกระเบื้อง
6.นำเครื่องปั้นดินเหนียวที่ปั้นเสร็จไปตากให้แห้งเพื่อรอการเข้าเตาเผา
1.
ความหมายของเครื่องปั้นดินเผา
ในสายตาของคนทั่วไปเครื่องปั้นดินเผาเป็นเพียงแค่ภาชนะต่างๆ
ต่างเท่านั้น
บ้างก็มองทางเชิงศิลป์ว่าเป็นของตกแต่งที่สวยงามหรือเป็นโบราณวัตถุที่ควรค่าต่อการเก็บรักษาเท่านั้น แต่จริงๆแล้วใช่ว่าจะมีเพียงความหมายเฉพาะที่กล่าวมาข้างต้นเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึง
ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากดินและหินที่ผ่านกรรมวิธีเผาให้คงทนแข็งแรง
ซึ่งรวมไปถึงอุตสาหกรรมการทำแก้ว โลหะเคลือบ การทำซีเมนต์ ปูนขาวปูนปลาสเตอร์
เป็นต้น ซึ่งนับว่ามีประโยชน์เช่นกัน
2.
ประวัติความเป็นมาของเครื่องปั้นดินเผาไทย
ยุคหินกลาง
พบเครื่องปั้นดินเผาผิวเคลือบมีความเงาและเครื่องปั้นดินเผา ลายเชือกทาบ
สมัยหินใหม่
พบเครื่องปั้นดินเผาที่มีรูปแบบและลวดลายแปลกใหม่เพิ่มขึ้นทีมีทั้งลายเรียบๆ
ธรรมดาไปจนถึงลายที่มีความวิจิตรงดงามมาก ภาชนะสมัยหินใหม่ตอนต้นมีจุดเด่นคือ
มีที่รองรับถาวร บ้างก็เป็นขากลวง 3 ขา มีรูเจาะไว้ 3 รู เพื่อไล่อากาศ
ยุคโลหะ ในยุคนี้ได้ถือเอางานเครื่องปั้นดินเผาเป็นหัตถกรรมดั้งเดิมที่ค่อยๆ
วิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีขึ้นเรื่อยๆ
เครื่องปั้นดินเผาที่นิยมมากในวัฒนธรรมของซานคือ การทำลายเส้นขนาน
ลายรูปสามเหลี่ยม ลายก้นขด ลายวงกลม ลายทแยง
เครื่องปั้นดินเผาสมัยทวารวดี แบ่งออกเป็น 6
ระยะดังนี้
ระยะที่ 1
ใช้เหล็กสัมฤทธิ์ทำเครื่องปั้นดินเผาแบบต่างๆ
ระยะที่ 2
เครื่องปั้นดินเผาในระยะนี้ได้รับอิทธิพลจากอินเดีย เป็นแบบเรียบสีแดง
ระยะที่ 3
ได้พบเครื่องปั้นดินเผาเคลือบที่เก่าแก่ที่สุดที่ ต. จันเสน พยุหะคีรี
พบวัตถุชิ้นเล็กๆ 2 ชิ้นเคลือบสีน้ำตาลอมเขียวเนื้อแกร่ง
นอกจากนี้ยังมีเครื่องปั้นดินเผาอื่นที่เนื้อแกร่งและสีมัน สวยงามมาก
ระยะที่ 4
ได้พบเครื่องปั้นดินเผามากขึ้น แสดงว่า ต.จันเสน ไม่ใช่หมู่บ้านเล็กๆ แล้ว
ระยะที่ 5
พบรูปสิงโตดินเผา รูปปั้นผู้ชาย เครื่องปั้นดินเผาในยุคนี้แบ่งเป็น 2 แบบคือ
แบบที่ 1 : พบเครื่องปั้นดินเผาที่มีลวดลายต่างๆ
ประทับอยู่ เช่น ลายช้าง หงส์
วัวและนักรบ
แบบที่ 2 : พบไหปากผาย รอบปากสีแดงและขาว
ระยะที่ 6 พบเครื่องปั้นดินเผาเพียง 2 – 3 แบบ แต่ดูเหมือนว่าจะเผาในเตาอย่างแท้จริง
ไม่ได้เผากลางแจ้งเหมือนแต่ก่อน
แม้ว่าจะไม่ได้เผาเคลือบแต่ก็เผาได้อย่างสม่ำเสมอและแข็งดี
เครื่องปั้นดินเผาในสมัยศรีวิชัย พบเครื่องปั้นดินเผาในบริเวณสนามบิน
เครื่องปั้นดินเผาสมัยลพบุรี ได้พบเครื่องปั้นดินเผาเคลือบสีน้ำตาล (ไทยขอม) เป็นทั้งรูปคนและสัตว์ และเครื่องปั้นดินเผาสีน้ำตาลและน้ำเงินอ่อนคล้ายสังคโลก
เครื่องปั้นดินเผาเชียงแสน
ยุคนี้สามารถทำเคลือบได้หลายชนิด ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนความคิดระหว่างไทยกับจีน
เครื่องปั้นดินเผาสมัยสุโขทัย
มีการทำเครื่องปั้นดินเผาไฟสูงเลียนแบบจีนเป็นสินค้าส่งออก
อีกอย่างหนึ่งเรียกว่าสังคโลก การผลิตเป็นการทำงานแบบอุตสาหกรรม
สีของเครื่องเคลือบมักเป็นสีเขียวไข่กามีสีน้ำตาลบ้างประปราย
อีกทั้งยังพบเตาเผาถึง 49 เตา
ซึ่งบ่งชี้ได้ว่าในสมัยสุโขทัยได้ผลิตเครื่องปั้นดินเผาเป็นอุตสาหกรรม
แหล่งวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเครื่องปั้นดินเผา
แหล่งวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเครื่องปั้นดินเผา
มีอยู่หลายแห่ง เช่น
ดินขาว - ลำปาง
สุโขทัย สวรรค์โลก ชลบุรี
ดินเหนียว -
ปทุมธานี นนทบุรี ราชบุรี
นครราชสีมา
ควอรตซ์ - เชียงใหม่
กำแพงเพชร ลพบุรี ปราจีนบุรี
จันทบุรี ระยอง
เฟลด์สปาร์ -
เชียงใหม่ ชลบุรี กาญจนบุรี
ราชบุรี นครศรีธรรมราช
ประเภทของผลิตภัณฑ์และอุณหภูมิเตาเผา
ประเภทของผลิตภัณฑ์
|
อุณหภูมิเตาเผา ( C
)
|
1.
เนื้อทึบ พื้นผิวหยาบขรุขระ มีความพรุน
ดูดความชื้น และน้ำซึมได้
2.
เนื้อหนาเนียนละเอียด ทึบแสง ผิวเป็นมัน
น้ำซึมไม่ได้
3.
เนื้อบางแน่นเนียนละเอียด สีขาว ผิวเป็น
มัน เห็นโปร่งแสง น้ำซึมไม่ได้
|
1,000 – 1,180
1,250 – 1,300
1,300 ขึ้นไป
|
อิฐทนไฟ
ทำจากดินเหนียวที่มีปริมาณของอะลูมิเนียมออกไซด์สูง อาจมีส่วนผสมของแร่โครไมท์ แร่ไพโรฟิลไรท์เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถทนความร้อนได้สูง
( สูงกว่า 1482 C ) มีความแข็งแรง
เป็นฉนวนและทนทานต่อการกัดกร่อนใช้ทำเตาเผา
เตาหลอมเหล็ก
สีของเครื่องปั้นดินเผาที่เกิดจากส่วนผสมของโลหะออกไซด์ชนิดต่างๆ
ออกไซด์ของโลหะ
|
สีของเครื่องปั้นดินเผา
|
โคบอลต์
โครเมียม
เหล็ก
ทองแดง
แมงกานีส
โครเมียมกับดีบุก
พลวงกับตะกั่ว
|
น้ำเงิน
เขียวอมน้ำเหลือง-น้ำตาล
น้ำตาลค่อนข้างแดง
เขียวสด เขียวใบไม้
น้ำตาล
ชมพู
เหลือง
|
เครื่องปั้นดินเผาบ้านมอญ
เป็น ภูมิปัญญาที่มีมรดกตกทอดมากกว่า 200 ปี เป็นชุมชนชาวมอญที่ได้อพยพมาจากอำเภอ ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
ทรัพยากรดินที่ชุมชนบ้านมอญได้มาตั้งถิ่นฐานมีจำนวนมากที่จะประกอบอาชีพการ
ทำเครื่องปั้นดินเผาได้ จึงได้สืบทอดการทำเครื่องปั้นดินเผาจนเป็นภูมิปัญญาการทำเครื่องปั้นดินเผา
ได้ จึงได้สืบทอดจนเป็นหมู่บ้านภูมิปัญญาการทำเครื่องปั้นดินเผาจนถึง
ปัจจุบัน มีการจัดเป็นศูนย์สาธิตด้านกระบวนการเรียนรู้และถ่ายทอดของชุมชนด้าน
ภูมิปัญญาการทำเครื่องปั้นดินเผา เพื่อเยาวชนรุ่นหลังและผู้มาเยี่ยมชม
จุดเด่นของหมู่บ้านเครื่องปั้นดินเผาบ้านมอญ คือ หน้าร้านขายผลิตภัณฑ์ของกลุ่มอยู่ติดถนนทางหลวง
จึงทำให้ผู้ที่สัญจรไปมาสามารถมองเห็นและแวะเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และกลุ่มยังให้ความสำคัญในการต้อนรรบผู้ที่มาเยี่ยมชมสินค้าภายในร้านเป็น
อย่างดี คอยแนะนำผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดว่าเหมาะสำหรับงานใดบ้าง
รวมทั้งยังมีการจัดให้มีการออกร้านตามงานต่างๆ
ทั้งในจังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดใกล้เคียง
ขั้นตอนการทำเครื่องปั้นดินเผา
1 . การเตรียมดิน เมื่อขุดดินมาแล้วจะต้องทำการหมักดินก่อนประมาณ
6-7 วัน การหมักดินทำโดยการพรมนำตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ดินแห้ง
เมื่อพรมน้ำแล้วใช้ผ้ายางคลุมเพื่อไม่ให้ความชื่นระเหย
2 . การนวดดิน
พอหมักดินแล้วจะนำดินมานวดโดยนำดินเหนียว 3 ส่วน
ต่อทราย 1 ส่วน เข้าเครื่องนวดดินจะนวด 2 ครั้งเพื่อให้ส่วนผสมเข้ากันได้ดี
3 . การขึ้นรูป ก่อนจะขึ้นรูปนำทรายมาโรยลงบนแป้นให้เป็นวงกลมเพื่อไม่ให้ดินติดกับแป้นไม้
จากนั้นนำดินมาวางบนแป้นไม้แล้วยกแป้นไม้นั้นมาวางบนแป้นหมุน
การขึ้นรูปจะทำโดยการหมุนแป้นไม้ให้เกิดแรงเหวี่ยง แล้วใช้มือรีดดินเพื่อขึ้นรูปเป็นภาชนะตามที่ต้องการ ต่อจากนี้จะตกแต่งลวดลายตามขอบภาชนะตามใจชอบ เมื่อขึ้นรูปเรีบยร้อยแล้วจะทิ้งไว้ในร่มประมาณ
3 วัน เพื่อให้ดินแห้งพอหมาด ๆ
เสียก่อน ต่อจากนั้นจึงนำภาชนะเข้าสู่เตาเผา
4 . การเผา
ภาชนะที่ปั้นเสร็จและแห้งแล้ว จะนำมาใส่เตาเพื่อเผาให้ดินสุก
เตาเจะก่อตัวเป็นรูปทรงกลม ข้างบนมีลักษณะโค้งเหมือนโดม มีช่องสำหรับใส่ไฟ การเรียงภาชนะในเตาเผาต้องเรียงสลับแบบฟันปลา
เพื่อให้ภาชนะโดนไฟอย่างทั่วถึงและเป็นการประหยัดเนื้อที่
การเผาวันแรกต้องเริ่มจากการใส่เชื้อเพลิงทีละน้อยๆ
เพื่อให้ภาชนะค่อยๆ ปรับตัว ถ้าใส่ไฟแรงเกินไปภาชนะปรับตัวไม่ทันอาจแตกได้
ใช้เวลาเผา 3 วัน จึงนำภาชนะออกจากเตาเผา